Note From การใช้ Block Trade วิเคราะห์แนวโน้มหุ้น
ข่าวดี ! Block Trade เป็นธุรกรรมที่ต้องเปิดเผยในทุกสิ้นวันทำการ ในการเล่นหุ้นปกติ นักลงทุนอาจไม่มีสิทธิ์รู้ได้เลยว่าหุ้นตัวไหน รายใหญ่เข้าเมื่อไหร่ เพราะสิ่งที่ปรากฏ(ไม่)ชัดเจน มีเพียงแค่การเคลื่อนไหวของราคา & ปริมาณเท่านั้น แต่สำหรับ Block Trade กลับไม่ใช่แบบนั้น เพราะเมื่อใครก็ตามที่ทำธุรกรรม Block Trade ตัวเลขทั้งหมดจะปรากฏอยู่ใน “สถานะคงค้าง” ของ Stock Futures หรือที่เราเรียกว่า OI ซึ่งในตลาด TFEX การซื้อขาย Stock Futures เกือบทั้งหมดเกิดขึ้นในกระดาน Block Trade ดังนั้น จึงใช้อนุมานได้ทันทีว่า
ข้อควรระวัง 4 ประการ คือ
1.OI ไม่ได้บอกทิศทาง อย่างที่รู้กันว่า Block Trade สามารถเปิดสถานะได้ทั้งทางฝั่ง Long และฝั่ง Short โดยไม่ว่าจะฝั่งไหนก็ล้วนแล้วแต่ทำให้ยอด OI ก็จะเพิ่มขึ้นทั้งคู่ แม้ว่าผลทางสถิติจะบอกว่า 80-90% จะเป็นตัวเลขทางฝั่ง Long ก็ตาม ดังนั้น เพื่อให้การใช้วิเคราะห์ทิศทางอย่างถูกต้อง อาจต้องดูการเคลื่อนไหวของราคาเป็นส่วนประกอบ
2.OI สามารถปลอมขึ้นมาได้ ลองคิดดูนะครับ หากถ้าเจ้ามือรู้ว่านักลงทุนเริ่มสังเกต OI เพื่อใช้บ่งบอกทิศทางหุ้น เขาก็สามารถหลอกพวกเราได้ ด้วยการหาพอร์ต 2 พอร์ตมาเปิดสถานะ Block Trade ในทางตรงกันข้ามกัน เพียงเท่านี้ OI ก็เพิ่มขึ้น ดังนั้น เพื่อให้เกิดความขัวร์ ให้สังเกตจาก Volume ของหุ้นในวัน(ช่วง)นั้นจะต้องมีปริมาณซื้อขายเพิ่มขึ้นด้วย
3.เจ้ามือไม่ได้เก่งทุกคน สิ่งที่เรายืนยันได้ คือ คนที่เข้ามาเล่น Block Trade เป็นพันเป็นหมื่นสัญญา จะต้องมีเงินและมีความมั่นใจในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าความสามารถหรือข้อมูลของเขาจะถูกต้องเสมอ ทำให้บางครั้งพวกเขาเองก็เจ็บและ cut loss ออกไป ส่งผลให้ราคาไม่ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามที่เราคาดหวังไว้
4.หุ้นทุกตัวไม่ได้ขึ้นอยู่กับ Block Trade แม้ Block Trade จะเป็นหนึ่งในเครื่องมือหลักที่รายใหญ่ใช้เก็บ/ทำราคาหุ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหุ้นทุกตัว จะสามารถสังเกตพฤติกรรม Block Trade ได้ เพราะบางตัวก็ไม่มีคนเล่นแต่ราคาขึ้น-ลงอย่างมีนัยสำคัญ สุดท้ายทุกท่านจำเป็นต้องดู Factor อื่นเพิ่มเติมด้วย
จากรูปแสดงให้เห็นว่า OI นั้นเกิดขึ้นจากนักลงทุนรายใหม่ 2 คน ที่มีความคิดเห็นไม่ตรงกัน โดยคนหนึ่งมองขึ้น (Long) ในขณะที่อีกคนนั้นมองลง (Short) จึงทำการเปิดสถานะมาเดิมพันความคิดของตนเอง และกลายเป็นคู่สัญญากัน แต่หลังจากนั้น ธุรกรรมในตลาดสามารถทำให้ OI เปลี่ยนแปลงได้ 3 กรณี กล่าวคือ…
กรณีที่ 1 นักลงทุนที่อยากเปิด Long เพิ่ม มาพบกับนักลงทุนที่อยากเปิด Short เพิ่ม โดยในที่นี้จะเป็นลักษณะคล้ายกับที่อธิบายไปข้างต้น ซึ่งจะทำให้ค่า OI ในระบบปรับตัวเพิ่มขึ้น
กรณีที่ 2 หากมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอยากเปิดเพิ่ม แต่อีกฝ่ายเลือกที่จะปิด โดยในการปิดสถานะนั้น เขาอาจทำเพื่อ Cut loss หรือ Take Profit ก็เป็นได้ และในกรณีการพบกันในความต้องการที่แตกต่างกันนั้น ทำให้มือใหม่หลายคนอาจสับสนว่าจะเป็นอย่างไร แล้วจะปิดสถานะได้หรือไม่? ในเมื่ออีกฝั่งไม่ยอมปิด แต่นั่นคือความเข้าใจผิด เพราะการปิดแบบนี้จะหมายถึง การโอนไปให้นักลงทุนท่านอื่นถือสถานะต่อจากท่าน และในกรณีนี้เองที่ OI ในระบบจะ ไม่เปลี่ยนแปลง
กรณีที่ 3 กรณีสุดท้ายนี้ คือ การพบกันของผู้ที่ต้องการปิดสถานะ กับผู้ที่ต้องปิดสถานะ ก็เป็นกรณีเดียวกันกับกรณีแรกแต่ตรงกันข้าม ดังนั้นแบบนี้ OI ในระบบจะลดลง
ทุกคนรับรู้ว่า Block Trade ก็เป็น Futures อย่างหนึ่ง แล้วทำไมเราจึงบอกว่าสามารถใช้ได้ดี? มันควรจะเกิดกรณีที่ซับซ้อนแบบเดียวกับที่เรากล่าวไปข้างต้น มิใช่หรือ? คำตอบคือ ไม่ใช่เลยครับ! เพราะโครงสร้างของธุรกรรม Block Trade เป็นแบบ 2 มิติอย่างง่าย ไม่ซับซ้อน คือเปิดต้องพบเปิด และเมื่อปิดต้องพบปิด โดยไม่มีมือที่ 3 เข้ามาเกี่ยวข้อง
ขออธิบายเพิ่มเติมนะครับ พวกท่านจำขั้นตอนการทำ Block Trade กันได้ใช่ไหมครับ? มันคือการตกลงกันของคน 2 คน คือ นักลงทุนกับทาง Broker ดังนั้น ไม่มีทางจะมีมือที่สามในตลาด Block Trade ! กล่าวคือ เมื่อนักลงทุนตัดสินใจเปิด Broker ก็จะเปิดสถานะเช่นกัน และเมื่อใดที่นักลงทุนตัดสินใจปิด Broker ก็จะต้องปิดเช่นเดียวกัน ไม่มีทางที่คู่สัญญาจะถูกโอนไปให้คนอื่นรับช่วงต่อ มันจึงง่ายต่อการวิเคราะห์เมื่อเทียบกับการซื้อขาย Futures ในตลาดปกติ
ก่อนอื่นเรามาสร้างโจทย์คำถามเพื่อให้ทุกคนคิดต่อในมุมมองเดียวกันก่อนนะครับ กล่าวคือ หากถ้าทุกคนได้ยินข่าววงในมาว่าบริษัท XXX ที่มีใน Single Stock Futures กำลังประกาศกำไรออกมาสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยยังไม่มีใครทราบ พวกท่านจะทำอย่างไรให้ได้กำไรสูงสุด โดยเราเชื่อว่าทุกท่านคงนึกถึงการทำกำไรให้มากมายที่สุด และหนึ่งในเครื่องมือที่ทำกำไรได้สูงสุดในตลาด ก็คือ Block Trade นี่แหละครับ เราจึงบอกว่าตราบใดก็ตามที่มีข่าวดีหรือร้ายออกมา หากมีคนมั่นใจ อย่างไรก็หนีไม่พ้นการใช้ Block Trade
OI จะเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญว่าหุ้นตัวนี้กำลังถูกเก็บหรือไม่ อย่างที่ทุกคนได้ทราบจากครึ่งแรกของบทความว่า OI หรือสถานะสะสมนั้นเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงทุกสิ้นวันทำการ ดังนั้นจึงสามารถทำให้เราทราบได้ว่า ถ้า OI ขึ้นแสดงว่ามีรายใหญ่เข้ามาสะสมหุ้นใน Block Trade และถ้าหาก OI ลดแสดงว่าเขาปิดทำกำไรออกไปแล้ว
เรื่องที่โหดร้าย คือ แล้วจะทราบได้อย่างไรว่าเขาเก็บ Long หรือ Short อันนี้เป็นเรื่องเราไม่มีทางทราบได้ 100% ครับ แต่เราสามารถตรวจสอบอย่างคร่าวๆ ได้ เพียงแต่ข้อมูลนั้นยังอยู่ในขั้นตอน regression ความสัมพันธ์ และต้องใช้เวลาทดสอบความถูกต้องของข้อมูลจึงยังไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่อยากให้พวกท่านรับรู้ไว้นะครับ ว่าโดยส่วนใหญ่ 80% ของธุรกรรม Block Trade เป็นฝั่ง Long โดยมีเหตุผลสำคัญ คือ
- นักลงทุนมีความคุ้นชินในการลงทุน (ทำราคา) ในฝั่งขาขึ้นเป็นหลัก เหมือนการเล่นหุ้นปกติ
- ธุรกรรม Block Trade ฝั่ง Short ยุ่งยากกว่ากว่าฝั่ง Long เพราะต้องหาหุ้นมาขาย ถ้าหาไม่ได้ก็ Short ไม่ได้ ดังนั้น การตีความ OI ที่เพิ่มขึ้น จึงยืนพื้นและตีความฝั่ง Long เป็นหลัก
มาถึงอีกเนื้อหาสำคัญของเรื่องนี้ นั้นคือสัญญาณเฝ้าระวังที่ทุกคนต้องจับตาดูเพิ่มเติม ซึ่งสัญญาณเหล่านี้จะยังไม่เป็นการที่เราต้องรีบหนีแต่เราต้องจับตาดูหุ้นเหล่านั้นอย่างใกล้ชิด ซึ่งหากถ้าพวกท่านเป็นนักลงทุนรายใหญ่แล้วต้องการทุบหุ้น พวกท่านจะเลือกหุ้นที่ทุบอย่างไร ? แน่นอนว่าเขาต้องเลือกหุ้นที่มีความที่เปราะบางที่สุด … โดยความเปราะบางในทีนี้ จะหมายถึง “ตัวที่นักลงทุนพร้อมจะถูก Force sell ไวที่สุด”ดังนั้นเราลองมาดูสัญญาณว่าหุ้นที่มีโอกาสถูก Force sell 3 สัญญาณต่อจากนี้
1.ราคาหุ้นที่ปรับขึ้นมาสักระยะแล้วและยังขึ้นต่อ แต่ OI เริ่มหยุด !
คงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นยากมาก หากถ้านักลงทุนมั่นใจว่าหุ้นจะขึ้นแต่ไม่ใช้ Block Trade ในการเก็บหุ้น ดังนั้นเมื่อหากเราเห็นราคาขึ้นปรับตัวขึ้น แต่ OI เริ่มแสดงท่าทีว่าไม่อยากเก็บต่อถ้าเมื่อไรก็ตามที่หุ้นขึ้นสูงมากในระดับนึงแล้ว OI ไม่เพิ่มขึ้นตาม นั้นเป็นอีกจุดหนึ่งที่ทุกคนต้องเริ่มสงสัยได้แล้วว่า ทำไมรายใหญ่ที่มีเงินถึงไม่เก็บต่อ นั้นอาจเป็นสัญญาณที่รายใหญ่กำลังบอก พอแล้ว , มากกว่านี้มันเสี่ยงเกินไปแล้ว , ซึ่งพวกท่านเองที่มีกำไรก็ต้องจ้องหรือหาจังหวะออกเช่นเพราะนั้นอาจเป็นสัญญาณว่าหุ้นตัวนั้นกำไรจบรอบแล้ว
2.ปริมาณ OI คงค้างเมื่อเทียบกับมูลค่าการซื้อขายต่อวัน
พวกท่านลองคิดดูว่าหากปริมาณคงค้างใน Block Trade สะสมสูงถึงมูลค่า 100 ล้าน แต่หุ้นตัวนั้นซื้อขายเพียงวันละ 10 ล้าน ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรหากถ้าราคาปรับตัวลดลง แน่นอนว่าปริมาณการซื้อขายไม่มีทางรองรับได้พอการถูก Force sell อย่างแน่นอน ทำให้เกิดการ Panic ได้โดยง่าย และในกรณีเลวร้ายที่สุด คือ ต่อให้พวกท่านอยากขาย พวกท่านก็ขายไมได้ เนื่องจากไม่มีคนรับ และเรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นมาหลายครั้งแล้ว ! ในประวัติศาสตร์ของ Block Trade
3.Margin เป็นอีกเรื่องที่มองข้ามไม่ได้ หลายท่านอาจไม่รู้ว่า เงินวางประกันในตลาด TFEX ที่พวกเหล่าวิทยากรชอบเปรยกันว่าประมาณ 10% ของมูลค่า นั้นแท้จริงแล้วเป็น “ค่าคงที่ค่านึง” ที่ตลาดเขาคิดขึ้นจาก Factor ต่าง ๆ เช่น มูลค่าสัญญา และใช้อย่างต่อเนื่อง และอีกเรื่อง คือ ค่าเหล่านี้จะเปลี่ยนประมาณเดือนละ 1 ครั้ง คำถามคือ แล้วจะเปลี่ยนตามอะไร ? คำตอบ คือ “ความผันผวนของสินทรัพย์อ้างอิง” ดังนั้น นี้คือสัญญาณเตือนตัวที่ 3 หากถ้าหุ้นตัวไหนมีการปรับตัว Margin ให้อยู่ในระดับเงินวางต่ำกว่า 5-10% เมื่อไหร่ให้พวกท่านรับรู้ว่า รายใหญ่เขากำลังจ้องหุ้นเหล่านี้อยู่
นี่ถือเหตุผลทั้งหมดที่ทำให้หุ้นบางตัวเวลาราคาลงเกินกว่า 5-10% “ต้องถูก Panic เสมอ” โดยเป็นเรื่องที่รายใหญ่รับรู้โดยทั่วกัน และขึ้นอยู่กับว่าเขาอยากจะเชือดตัวไหนเมื่อไหร่ ดังนั้นนักลงทุนอย่างพวกเราเองก็ต้องคอยหมั่นสังเกตพฤติกรรมเหล่านี้เพื่อให้ตัวเองไม่เป็นเหยื่อของพวกเขา
https://pantip.com/topic/37751186
ไม่เลยครับ … ในกระบวนการที่กล่าวไปไม่ได้ราบรื่นแบบนั้น มันยังมีความจริงอีกมุมนึงซ่อนอยู่ ทีนี่ผมอยากลองให้พวกท่านจินตนาการตัวเองเป็นฝั่ง Broker บ้าง หากนักลงทุนเปิด Long แสดงว่าโบรคเกอร์ต้องมีสถานะ Short ถูกไหมครับ ? และ Broker กำลังเผชิญความเสี่ยง นั้นคือ ถ้า PTTEP Futures ปรับตัวเพิ่มขึ้นจะเกิดการขาดทุน แล้วพวกท่านคิดว่าโบรคเกอร์จะยอมเปิดความเสี่ยงให้เกิดขึ้นไหม ? คำตอบคือไม่มีทาง ดังนั้น โบรคเกอร์จึงจำเป็นต้องนำต้องนำเงินของตัวเองไปซื้อหุ้น PTTEP จริง ๆ เก็บเอาไว้ในพอร์ต ให้เท่ากับมูลค่าของ PTTEP Futures ที่ Short ไว้ เพื่อป้องกันความเสี่ยงอย่างสมบูรณ์ (Fully Hedge) แปลว่าในทุก ๆ ครั้งที่นักลงทุนสั่ง Block Trade โบรคเกอร์จะนำเงินไปซื้อหุ้นตามที่นักลงทุนสั่งเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นการเคาะราคาตลาดเลยหรือตั้งรอที่ Bid ใด ๆ ก็ตาม ถ้า order หุ้น Match โบรคเกอร์ก็พร้อมเป็นคู่สัญญาใน Futures ให้ ในขาปิดสถานะก็เช่นเดียวกัน หากนักลงทุนต้องการปิดสถานะ ก็แค่สั่งขายตามราคาและปริมาณที่ต้องการ โบรคเกอร์ก็จะนำหุ้นในพอร์ตที่เก็บไว้ไปตั้งขายในกระดานหุ้น พอธุรกรรมในกระดานหุ้น Match เสร็จสิ้น ก็จะส่ง order ปิดสถานะ Futures ให้กับนักลงทุนผ่านกระดาน Block Trade เป็นอันเรียบร้อยอย่างสมบูรณ์ สำหรับธุรกรรม Block Trade 1 รายการ
ดังนั้นเราลองมาสรุปกันดีกว่า จากการ Wrap up ธุรกรรม Block Trade ให้พวกท่านรับรู้ พวกท่านยังให้ความหมายว่า เป็นการเพิ่มสภาพคล่องให้กับ Single Stock หรือไม่ ? แต่สำหรับผม คิดว่าจริง ๆ แล้วมันมีอีกความหมายหนึ่งซ่อนอยู่ คือ เป็นธุรกรรมที่นักลงทุนขอให้ Broker เอาเงินไปซื้อหุ้นแทน จากนั้นใช้ Single Stock Futures เป็นเพียงเครื่องมือในการส่งผ่านกำไรขาดทุนของธุรกรรมนั้นเท่านั้น
Q : Block Trade เล่นขา Short ได้ไหม ? A : ได้ครับ ได้เหมือนขา Long เลย (คงเริ่มคิดกันแล้วใช่ไหมครับว่าเวลาตลาดหุ้นลงมีพวกใช้ Block Trade ผสมโรงหรือไม่) ต่างกันนิดหน่อยตรงที่ Broker ต้องไปหาหุ้นมา Short Sale ซึ่งหากถ้าเขาหาไม่ได้ก็ไม่สามารถ Short ให้เราได้ ต่างจากขา Long ที่ใช้แต่เงินในการซื้อหุ้นจึงไม่ค่อยมีปัญหาในการส่งคำสั่ง นอกจากนี้ยังมีความยุ่งยากในกรณีหุ้นของบริษัทนั้นเกิดการขึ้นเครื่องหมายต่าง ๆ เช่น XM , XA (กรณีไหนบ้างรอผู้รู้ชี้แจงต่อนะครับ) ทาง Broker จะขอให้เราปิดสถานะไปก่อนแล้วค่อยเปิดใหม่ เพราะเขาต้องนำหุ้นกลับไปคืนเจ้าของเพื่อใช้สิทธินั้นๆ
เรามาย้อนความจำกันอีกสักนิด การต่างชาติทำการ Short สุทธิ แสดงว่านักลงทุนต้องเป็นคนสั่ง Long ใน Block Trade แปลว่านักลงทุนใช้ให้โบรคต่างชาติไปซื้อหุ้นให้ จึงสรุปได้ว่าหากต่างชาติ Net Short ให้รู้ว่าเขาถูกนักลงทุนบังคับให้ซื้อหุ้นโดยไม่ได้เป็นความต้องการของตัวเอง
สรุปคือหากถ้านักลงทุนเห็นยอดการซื้อขายผิดปกติของทั้งบล.และต่างชาติ เช่น ขายเยอะผิดปกติให้ทำการดูยอด Single Stock Futures ของทั้ง บล.และต่างชาติ โดยหากออกมาว่าเป็น Long สุทธิ ให้รู้ว่ายอดการขายนั้นเกิดจากรายย่อย Block Trade เสริมแรงลงมาด้วย